วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

งานชิ้นสุดท้าย
คำถาม พร้อมเฉลย

1. ภาพนี้มีชื่อว่าอะไร
ก. กล่องชื่อ.
ข. กลุ่มเซลที่กำลังทำงาน.
ค. ป้ายชื่อเวิร์กชีต.
ง. แถบแสดงสถานะ

2. หมายถึงข้อใด ?
ก. ผลรวมอัตโนมัติ.
ข. การเชื่อมโยงหลายมิติ.
ค. การเรียงลำดับข้อมูล.
ง. แสดงวิธีการใช้ Excel

3. มายถึงข้อใด ?
ก. การดูตัวอย่างก่อนพิมพ์.
ข. สกุลเงิน.
ค. การวิจัย.
ง. การเชื่อมโยงหลายมิติ

4. ภาพนี้มีชื่อว่าอะไร
ก. แถบสถานะ.
ข. แถบทาสก์เพน.
ค. แถบสูตรคำนวณ.
ง. กล่องเครื่องมือควบคุม

5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการปิดแฟ้มเอกสาร 
ก. การปิดแฟ้มทำได้โดย คลิกคำสั่ง แฟ้ม => ปิด.
ข. ถ้าแฟ้มที่ต้องการปิดยังไม่เคยบันทึกมาก่อน หรือเคยบันทึกมาแล้วแต่มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการตกแต่งข้อความในเอกสาร จะมีข้อความถามว่าต้องการเปลี่ยนแปลงลงในแฟ้มหรือไม่.
ค. ปิดแฟ้มโดยการคลิกเลือกปุ่มบันทึก.
ง. ไม่มีข้อถูก

6. จากตารางทำงานแถวและสดมภ์ตัดกันเป็นช่องเรียกว่า 
ก. cell.
ข. Row.
ค. Column.
ง. Table

7. สมชามกดปุ่ม Ctrl พร้อมกับปุ่มอักษร N เป็นการให้โปรแกรมทำงานใด 
ก. เปิดสุดงานเดิม.
ข. เปิดสมุดงานใหม่.
ค. บันทึกสมุดงาน.
ง. บันทึกสมุดงานเป็นชื่อใหม่

8. การซ่อนหรือแสดงข้อมูล กระทำได้โดย ? 
ก. ขนาด.
ข. ลักษณะของแบบอักษร.
ค. คลิกขวา -> จัดรูปแบบเซลล์.
ง. คลิกขวา -> ซ่อน

9. ข้อใดเป็นชื่อเรียกของตารางที่ใช้เก็บข้อมูลของโปรแกรม Microsoft Excel 
ก. Sheet Tab.
ข. Name Box.
ค. Title Bar.
ง. Worksheet

10. ภาพนี้ชื่อว่าอะไร ?
ก. แถบเมนูบาร์.
ข. หน้าต่างทาส์กเพน.
ค. แถบสถานะ.
ง. แถบสูตรคำนวณ

11. สมชายต้องการบันทึกข้อมูล สามารถทำได้โดย 
ก. คลิกที่ File > new.
ข. คลิกที่ File > Save.
ค. คลิกที่ปุ่ม Ctrl+D.
ง. สมชายสามารถทำได้ทั้ง 3 วิธี

12. โปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซล ( Microsoft Excel ) เป็นโปรแกรมประเภทใด ? 
ก. โปรแกรมกราฟฟิกส์.
ข. โปรแกรมนำเสนอข้อมูล.
ค. โปรแกรมการประมวลคำ
ง. โปรแกรมตารางคำนวณอิเล็กทรอนิกส์

13. การแสดงแถบเครื่องมือสามารถทำได้ตามขั้นตอนได้ตามข้อใด ? 
ก. แถบเครื่องมือ = > คลิกเลือกประเภทของเครื่องมือที่ต้องการ.
ข. มุมมอง = > แถบเครื่องมือ = > คลิกเลือกประเภทของเครื่องมือที่ต้องการ.
ค. มุมมอง = > มุมมองปกติ.
ง. แฟ้ม = > คุณสมบัติ

14. ถ้าสมชายต้องการเปิดใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel ต้องปฏิบิติอย่างไร 
ก. คลิกที่ปุ่ม Start ไปเลือกที่ Microsoft Excel.
ข. Double Click ที่สัญลักษณ์ x.
ค. คลิกที่ปุ่ม Start ไปที่ All Program และ Microsoft Office คลิกที่ Microsoft Office Excel.
ง. สมชายจะเข้าสู่โปรแกรมวิธี ข หรือ ค ก็ได้

15. ถ้าเราต้องการเปลี่ยนมุมมองการมองเห็นในโปรแกรม ให้คลิกสัญรูปใด ? 
ก.

.
ข.

.
ค.

.
ง.


16.สมชายไม่ต้องการใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel ต้องปฏิบัติได้โดยวิธีใด 
ก. เลือก แฟ้ม (File) > จบการทำงาน (Exit).
ข. คลิกที่ x บนแถบคำสั่ง.
ค. ไปที่ปุ่ม Control Menu Bar คลิกที่ ปิด (Close).
ง. สามารถปฏิบัติได้ทั้งข้อ ก ข้อ ข และข้อ ค

17. องค์ประกอบพื้นฐานหลักของการทำงานของคอมพิวเตอร์คือข้อใด 
ก. Excel ไม่สามารถคำนวณสูตรข้ามเซลล์ได้.
ข. Excel สามารถที่จะเรียงลำดับข้อมูลที่ต้องการจากตารางมาวิเคราะห์ได้.
ค. Excel ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขข้อมูลในเซลล์ได้หลังจากที่เปลี่ยนเซลล์ใหม่แล้ว.
ง. Excel สามารถตกแต่งตารางได้แต่ไม่สามารถคำนวณข้อมูลจากตารางที่ไม่เหมือนกันได้

18. การเปลี่ยนชุดตัวอักษรให้คลิกเลือกปุ่มใด ? 
ก.

.
.

.
ค.

.
ง.


19. ภาพนี้มีชื่อว่าอะไร
ก. หน้าต่างทาสก์เพน.
ข. แถบสูตรคำนวณ.
ค. กล่องชื่อเซล.
ง. แถบสถานะ

20. ส่วนประกอบใดของโปรแกรม Microsoft Excel มีแต่ Microsoft Word ไม่มี 
ก. แถบสูตร (Formular Bar).
ข. แถบชื่อเรื่อง(Title Bar).
ค. แถบคำสั่ง (Menu Bar).
ง. แถบเครื่องมือ (Tool Bar)

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

งานชิ้นที่ 4
ขั้นตอนในการสร้าง Blogger
ขั้นตอนที่ 1

     เข้าไปที่เว็บ http://www.blogger.com จะขึ้นหน้าจอตามรูปตรับ

ขั้นตอนที่ 2

     จากนั้นทำการสมัคร (สำหรับบุคคลที่ยังไม่มี Gmail ) ถ้ามีแล้วให้ล๊อกอินได้เลยครับ

ขั้นตอนที่ 3

     ให้กรอกข้อมูลตามความเป็นจริงนะครับ

ขั้นตอนที่ 4

     คลิกที่ปุ่มสร้างบล๊อกใหม่ตามรูปครับ



ขั้นตอนที่ 5

     พอคลิกแล้วจะขึ้นตามรูปนะครับ    จากนั้นให้กรอกข้อมูลลงไปครับ      เลือกแม่แบบตามใจชอบได้เลยครับ

ขั้นตอนที่ 6

    คลิกปุ่มตามรูปเลยครับ

ขั้นคอนที่ 7

    ใส่ข้อมูลต่างๆเลยครับ

ขั้นตอนที่ 8

     คลิกปุ่ม "แสดงตัวอย่าง" ถ้าชอบแล้วกดบันทึกได้เลยครับ


ความหมายของ Blogger

ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง หรือ เรียกง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วยบล็อก (อังกฤษ: blog) หรือ เว็บล็อก (weblog) เป็นหน้าเว็บประเภทหนึ่ง ซึ่งคำว่า blog ย่อมาจากคำว่า weblog หรือ web log โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (ปูม, บันทึก) รวมกัน หมายถึง บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง


Blogger ใช้ทำอะไร




1. ใช้เป็นเครื่องมืออย่างดีในการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความรู้ โดยเฉพาะ Tacit Knowledge โดยเขียนออกมาเป็น "เรื่องเล่า"


2. สามารถใช้สร้างความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องในเครือข่าย/ ชุมชน เป็นพลังเครือข่ายที่จะร่วมผลักดันงานร่วมกัน 



3. ใช้ติดต่องาน และให้ข้อเสนอแนะอย่างทันเวลา ทำให้งานได้ประสิทธิผลมากขึ้น ตัวอย่างที่ สคส. ใช้ คือ สำหรับบุคคลากรที่ไปทำงานนอกสถานที่ หรืออยู่คนละที่กัน จะใช้ blog เขียนเล่างานที่ไปทำ และ ประเด็นที่เก็บได้ (อันนี้ต้องขยันรีบเขียนเล่า ณ เวลานั้นได้ยิ่งดี) เพื่อคนอื่นๆ (ใน สคส. และภาคี) สามารถเข้าไปตามงานและเสนอแนะประเด็นที่ควรทำเพิ่มอย่างทันท่วงที ไม่ต้องรอกลับมารายงานผล และย้อนกลับไปทำงานเพิ่มอีก

ข้อดีของ Blogger



1. เปิดโอกาสให้ บล็อกเกอร์ได้รับฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
2. ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือ สิ่งเก่าๆ ที่เรายังไม่รู้ ให้รู้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น

3. ได้มิตรภาพใหม่ๆกับคนที่อยู่ในชุมชนบล็อก

4. ใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับครอบครัว เพื่อนฝูง เมื่อยามห่างไกลกัน

5. เจ้าของบล็อกมีอิสระที่จะนำเสนอ อะไรก็ได้ ที่ไม่ผิดกติกาของผู้ให้บริการบล็อกที่เราทำอยู่

6. เปิดโอกาสให้เจ้าของบล็อกได้แสดงออกถึงความสามารถ

7. ให้บล็อกเกอร์ได้แสดงตัวตนที่เป็นตัวเอง

ข้อเสีย Blogger
         

1. ความน่าเชื่อถือของข้อมูลขึ้นอาจมีความน่าเชื่อถือน้อยหรืออาจไม่น่าเชื่อถือ

2. อาจมีพวกที่ชอบป่วนเข้ามาเปิดบล็อก ก่อกวน และอาจทำข้อมูลของเจ้าของบล็อกเสียหายได้

3. เจ้าของบล็อกอาจใช้ช่องทางในการหากินโดยการล้อลวงผู้เข้ามาชมบล็อกให้หลงเชื่อ

4. เราอาจมีความเสี่ยงเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายไปด้วยหากมีบล็อกเกอร์โพสข้อความ รูปภาพ ที่ ไม่ เหมาะสม

5. สร้างความไม่สามัคคี

6. อาจมีสิ่งยั่วยุที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน

ข้อแตกต่าง ระหว่าง Blog กับ Website


Blog จะแตกต่างจากเว็บไซต์แบบ Static ตรงที่ Blog จะมีเรื่องให้น่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็นบทความใหม่ ๆ ที่มีให้อ่านมากกว่า มีพื้นที่ให้ผู้อ่านได้โต้ตอบได้ จนกระทั่งมีผู้กล่าวไว้ว่า Blog จะมาแทนที่เว็บไซต์นิ่ง ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนโบรชัวร์ออนไลน์


สำหรับประเด็นที่ทำให้ Blog แตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไป มีดังนี้

1. มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านได้ หรือที่เราเรียกว่า Interactive นั่นเอง

2. บทความใน Blog จะเขียนในรูปแบบที่เป็นกันเอง และดูเหมือนการสนทนา
มากกว่าในเว็บไซต์

3. ระบบที่ใช้เขียน Blog นั้นง่าย ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเซียนคอมพิวเตอร์
ก็สามารถเขียน Blog ได้

4. อัพเดทได้บ่อยมาก และยิ่งอัพเดทบ่อย จะยิ่งดีต่อการมาเก็บข้อมูลของ Search Engine
จะทำให้ตำแหน่งผลการค้นหาของเราใน Search Engine นั้นสูงตามไปด้วย

5. Blog เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำการตลาดแบบไวรัส (Viral Marketing)




Blog กับเว็บไซด์สำเร็จรูปต่างกันอย่างไร

ลูกค้าหลายท่านอาจจะงงกับคำว่าเว็บไซต์สำเร็จรูปและเว็บไซต์ที่เราเห็นทั่วๆ ไปว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง วันนี้ Kobsoft Studio จะมาอธิบายให้แบบเข้าใจง่ายๆ ครับ

เว็บไซต์สำเร็จรูป ก็คือเว็บไซต์ที่มีการเขียนระบบไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเน้นการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น เว็บร้านค้าสำเร็จรูป ก็จะมีระบบให้เพิ่มสินค้า มีระบบตะกร้าสินค้า มีระบบสั่งซื้อ เป็นต้นCMS (Content Management System) คือ ระบบจัดการข้อมูล เช่นระบบเขียนข่าว เขียนบทความ ระบบอัพโหลดรูปภาพ ระบบแก้ไขตำแหน่งของข้อมูล เป็นต้น

เว็บไซต์สำเร็จรูป มักจะมีระบบ CMS อยู่ภายใน เพื่อความสะดวกสำหรับ Admin หรือเจ้าของเว็บไซต์ที่จะสามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบข้อมูลได้ด้วยตนเอง ข้อดีของเว็บไซต์สำเร็จรูปคือ ทำระบบเพียงครั้งเดียว สามารถนำไปปรับแต่งใช้กับเว็บไซต์ในธุรกิจนั้นๆ ได้หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น นาย A ขายรองเท้าผ้าใบ ต้องการทำเว็บไซต์สำหรับเพิ่มสินค้ารองเท้า ส่วนนาย B ขายเสื้อ ต้องการทำเว็บไซต์สำหรับเพิ่มสินค้าเสื้อ ทั้งสองคนนี้สามารถใช้ระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปชนิดเดียวกันได้ โดยอาจจะปรับแต่งแค่สีสัน โลโก้ร้านค้า ซึ่งพื้นฐานการใช้งานแล้วก็คือการเพิ่มสินค้าลงบนเว็บไซต์ และมีระบบตะกร้าหยิบสินค้านั่นเอง นอกจากนี้การจ้างทำเว็บหรือใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปนั้น จะมีราคาถูก ไม่แพงมาก คุ้มค่ากับการลงทุนสำหรับกิจการขนาดเล็ก หรือเจ้าของขายเอง

แต่สำหรับการจ้างออกแบบเว็บไซต์ทั้งระบบ Web Design และ Web Programming นั้น จะแตกต่างไปจากเว็บไซต์สำเร็จรูปเรื่องข้อจำกัดต่างๆ ครับ ยกตัวอย่างเช่นเราอยากทำเว็บไซต์ขายเสื้อผ้า แต่ว่าไม่อยากได้หน้าตาที่มีเมนูและการวางสินค้าเรียงๆ กันเหมือนกับเว็บขายสินค้าทั่วไป เราอยากได้เป็นเหมือนระบบ Gallery แสดงสินค้าในแบบที่เราชอบ หรือหากเราไม่ได้ทำเว็บขายสินค้า แต่เป็นเว็บแสดงภาพถ่าย โดยจำลองเว็บไซต์ให้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์แสดงผลงาน หากต้องการทำเว็บไซต์ลักษณะนี้ เว็บไซต์สำเร็จรูปบางทีก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมดครับ ก็อาจจำเป็นต้องจ้างผู้ให้บริการทำเว็บไซต์มาพัฒนาเป็นงานเฉพาะด้านไปเลย

สรุปแล้วข้อแตกต่างระหว่างเว็บไซต์สำเร็จรูปและเว็บไซต์ที่ออกแบบเฉพาะด้าน แตกต่างกันตรงที่เว็บไซต์สำเร็จรูป เน้นการใช้งานทั่วไป มีความยืดหยุ่นพอสมควร มีราคาค่าจ้างทำที่ถูกกว่า แต่สำหรับเว็บไซต์ที่ออกแบบเฉพาะด้านนั้น จะเป็นงานเฉพาะที่ลูกค้ามั่นใจได้ว่า ระบบทั้งหมดจะถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจหรือจุดประสงค์ของลูกค้ารายนั้นได้จริงๆ และง่ายต่อการพัฒนาระบบในอนาคตด้วย

บทความน่ารู้นี้อาจทำให้เจ้าของธุรกิจหลายท่าน พิจารณาได้ง่ายว่า เราควรทำเว็บโดยใช้เว็บสำเร็จรูปหรือจ้างทำเว็บเฉพาะด้านดี หากเป็นการขายสินค้าเดิมๆ ระบบไม่ยุ่งยาก ก็ควรใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปครับเพื่อลดต้นทุน แต่หากเป็นงานใหญ่ มีระบบการเก็บสินค้า หรือการคิดเงินคำนวณแบบเฉพาะด้าน โดยเฉพาะหากต้องการระบบที่มีการพัฒนาต่อยอดในอนาคต เราก็ควรที่จะเลือกใช้บริการทำเว็บไซต์แบบเฉพาะด้านไปเลยครับ ถึงแม้จะมีราคาที่สูงกว่า แต่มั่นใจได้ว่าระบบจะดีที่สุดตามแบบที่เราต้องการ และง่ายต่อการพัฒนาในอนาคตด้วยครับ



อธิบายเกี่ยวกับ พรบ. คอมพิวเตอร์




1. เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่อนุญาตให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขา ถ้าเราแอบเข้าไป … จำคุก 6 เดือน

2. เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่น แล้วเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ จำคุกไม่เกินปี

3. แอบเข้าไปล้วงข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บเอาไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 2 ปี

4. ข้อมูลที่ถูกส่งหากันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แล้วไปดักจับข้อมูลของเขา จำคุกไม่เกิน 3 ปี

5. ข้อมูลที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ ถ้ามีไปตัดต่อ ดัดแปลง … จำคุกไม่เกิน 5 ปี (ดังนั้นอย่าไปแก้ไขงานเอกสารที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์คนอื่น)

6. ปล่อย Multiware เช่น virus, Trojan, worm เข้าระบบคอมพิวเตอร์คนอื่นแล้วระบบเข้าเสียหาย … จำคุกไม่เกิน 5 ปี

7. ถ้าเราทำผิดข้อ 5. กับ ข้อ 6. และสร้างความเสียหายใหญ่โต เช่น เข้าไปดัดแปลงแก้ไข ทำลาย ก่อกวน ระบบสาธารณูปโภค หรือระบบจราจร ที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ ……..จำคุกสิบปีขึ้น

8. ถ้ารบกวนโดยการส่ง email โฆษณาต่างๆไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่น … ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

9. ถ้าเราสร้างโปรแกรม หรือซอฟต์แวร์เพื่อเพื่อสนับสนุนผู้กระทำความผิด … จำคุกไม่เกินปีนึง

10. ส่งภาพโป๊ , ประเด็นที่ไม่มีมูลความจริง, ท้าทายอำนาจรัฐ … จำคุกไม่เกิน

11. เจ้าของเว็บไซด์โหรือเครือข่ายที่ยอมให้เกิดข้อ 10. โดนลงโทษด้วย … จำคุกไม่เกิน 5 ปี

12. ชอบเอารูปคนอื่นมาตัดต่อ … จำคุกไม่เกิน 3 ปี



เนื้อหาเกี่ยวกับบทความสารคดี



บทความ คือ ความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมุ่งเสนอความคิด ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง มีหลักฐานปรากฏชัดเจน เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น อีกทั้งผู้เขียนยังได้แทรกข้อเสนอแนะเชิงวิจารณ์หรือสร้างสรรค์เอาไว้ด้วย บทความเป็นงานเขียนที่ปรากฏคู่กับหนังสือพิมพ์ เพราะบทความเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ บทความเริ่มเป็นที่นิยมเขียนและอ่านกันในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ก็แพร่หลายอย่างรวดเร็ว รูปแบบการเขียนบทความคล้ายกับเรียงความ และถึงแม้เนื้อหาสาระของบทความส่วนใหญ่จะได้จากข่าวสด แต่วิธีเขียนบทความก็ต่างจากวิธีเขียนข่าวอีกเช่นกัน ผู้อ่านบทความนอกจากจะได้ความรู้ความคิดแล้วยังได้รับความเพลิดเพลินอีกด้วย

สรุป บทความคือความเรียงหรือร้อยแก้วประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเสนอสาระที่เป็นข้อเท็จจริง และความคิดเห็นของผู้เขียนอย่างมีเหตุผล รวมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข และ / หรือ ข้อคิดอย่างมีหลักการที่ดี (คือต้องมีทั้งหมด 3 อย่าง ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น แนวทางแก้ไข/ข้อคิด) แต่ถ้าบทความสั้น และเขียนทุกวันเป็นประจำ อาจมีแต่ข้อคิด ไม่มีแนวทางแก้ไข


โครงสร้างของบทความ

ความนำ

รายละเอียด

สรุปประเด็น 


บทความและคอลัมน์ทั่วไป (บางทีอาจเรียกว่า บทวิเคราะห์ ถ้าเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกในเรื่องต่าง ๆ เช่น ข่าว) จะมีลักษณะเป็นพีระมิดวัตถุประสงค์ของบทความ 

วัตถุประสงค์ของการนำเสนอบทความและบทวิเคราะห์คือ 

แสดงทัศนะ 

เสนอแนวทางแก้ไข 

โต้แย้งแสดงเหตุผล ด้วยภาษาและลีลาน่าเชื่อถือ สุภาพแต่หนักแน่น ไม่แสดงอารมณ์ 
ลักษณะที่แตกต่างกันและเหมือนกันของบทความ เรียงความ และข่าว 

รูปแบบ เรียงความและบทความมีรูปแบบในการเขียนเหมือนกัน คือ มีโครงเรื่องอัน 
ประกอบด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป หรือคำลงท้าย การตั้งชื่อหัวเรื่องอาจเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ส่วนข่าวเป็นการเสนอเรื่องรวมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง สาระสำคัญของข่าวอยู่ที่ย่อหน้าแรกของการเขียนข่าว คือความนำ ส่วนย่อหน้าต่อๆมา มีความสำคัญลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ จนกระทั่งถึงย่อหน้าสุดท้ายอาจตัดทิ้งไปได้โดยไม่เสียความ ถ้าเนื้อที่กระดาษจำกัด

2. ความมุ่งหมาย บทความเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไปในขณะนั้น ส่วนเรียงความเป็นการเขียนเพื่อมุ่งแสดงความรู้และความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เขียนเป็นสำคัญเท่านั้น นอกจากนี้ เรียงความมักจะเขียนเพื่อเป็นการฝึกทักษะด้านการแสดงความคิด ภาษา และการเรียบเรียงข้อมูล และเพื่อส่งเข้าประกวดแข่งขันชิงรางวัล หรือการสอบ แต่บทความส่วนใหญ่เป็นการเขียนที่เป็นวิชาชีพที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร

3. เนื้อเรื่อง หัวข้อเรื่องของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ อยู่ในความสนใจของผู้อ่านขณะนั้น เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์หนึ่งหรือมากกว่านั้นก็อาจล้าสมัยไปแล้ว ส่วนเรียงความจะหยิบยกเอาเรื่องใด ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมเขียนก็ได้ และหัวข้อเรื่องเดียวกันนี้ก็จะเขียนเมื่อใดก็ได้ ไม่ถือว่าล้าสมัย ส่วนข่าวมีอายุอยู่เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเสนอข่าวช้าไปแม้วันเดียวก็ถือว่า “ตกข่าว” แล้ว

4. วิธีเขียน วิธีเขียนเรียงความนั้นใครๆ ก็รู้จักวิธีการเขียนและสามารถเขียนได้ ส่วนมากเป็นการเขียนแบบเรียบๆไม่โลดโผน แต่บทความจะต้องมีวิธีเขียนอันชวนให้อ่าน ให้ติดตามเนื้อเรื่อง ส่วน การเขียนข่าวต้องตอบปัญหา 6 ข้อ คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และทำไม ต้องเสนอข่าวเท่าที่เกิดขึ้นจริง เขียนอย่างสั้นและตรงไปตรงมา ไม่มีข้อคิดเห็นของผู้เขียน ไม่มีแม้แต่ชื่อผู้เขียนข่าว และต้องเป็นข่าวสดจริง ๆ
ภาษา ภาษาในบทความ เรียงความ และข่าว จะต่างกันอยู่บ้าง เรียงความจะใช้ภาษาทางการ
บทความและสารคดีอาจใช้ภาษาทางการ กึ่งทางการ จนถึงสนทนาได้ ส่วนข่าวมีการใช้ภาษาที่แตกต่างกันไปตามสื่อ ภาษาที่ใช้ในบทความและสารคดีจะต่างจากภาษาข่าว แต่ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของบทความและสารคดีด้วย

ประเภทต่าง ๆ ของบทความและสารคดี


สรุปโดยพิจารณาจากจุดประสงค์ของการนำเสนอประกอบ จะแบ่งได้เป็นแบบต่างๆ ต่อไปนี้ 

เชิงวิชาการ 

เชิงวิเคราะห์วิจารณ์ 

เชิงแสดงความคิดเห็น 

เชิงอธิบาย 

เชิงบอกเล่า 

บทความและสารคดีในรูปแบบทางวารสารศาสตร์ หรือบทความในหน้าหนังสือพิมพ์ อันได้แก่ คอลัมน์ต่าง ๆ ซึ่งวิจารณ์ข่าว และ / หรือ แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ หรือวิเคราะห์เจาะลึกในเรื่องต่าง ๆ เป็นประจำ อาจแบ่งเป็นแนวต่างๆ ดังต่อไปนี้ 

แนวเล่าเรื่อง (Narrative) 

แนววินิจสาร (Interpretative) แยกออกมาจากแนวเล่าเรื่อง ต้องตีความ หาข้อมูล สัมภาษณ์ ฯลฯ เล่าเรื่องหนัก ๆ ให้น่าสนใจ 

แนวสนองปุถุชนวิสัย (Human Interest) เน้นความเจิดจ้าและภาพในจินตนาการของผู้อ่าน 

แนวสืบเสาะพิเศษ หรือเจาะลึก (scoop) 

แนววิเคราะห์วิจารณ์ ต่างจากแนวอื่นตรงที่เป็นภววิสัย (Objective) มากกว่า คือพยายามเป็นกลาง ไม่แสดงความคิดเห็นของผู้เขียนด้านเดียว แต่ภาษาไม่จำเป็นต้องเป็นทางการ 

การแบ่งประเภทโดยใช้เกณฑ์นี้ต้องระวังเพราะกล่าวปนกันทั้งบทความและสารคดี






ลักษณะที่แตกต่างกันของบทความและสารคดี


บทความและสารคดีในวงการหนังสือพิมพ์ปนกัน (คือไม่ใช่บันเทิงคดี) ปกติจะเรียกว่าบทความเมื่อลงหนังสือพิมพ์ เรียกว่าสารคดีเมื่อลงนิตยสาร แต่บทความและสารคดีมีข้อแตกต่างอย่างกว้าง ๆ คือ
บทความ มีจุดประสงค์ให้ความคิดเห็น แสดงความคิดเห็นส่วนตัว อาศัยประสบการณ์ มักเขียนเพื่อผู้อ่านทั่วไป จึงเป็นเรื่องพื้น ๆ ทั่ว ๆ ไป เนื้อหาของความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ได้ ในที่นี้หมายถึงบทความทั่วไปในหนังสือพิมพ์ แต่ในความหมายกว้างจะมีบทความวิชาการซึ่งต้องพิสูจน์ได้
สารคดี มีจุดประสงค์ให้ความรู้ บอกความจริงที่เป็นอยู่ หรือความรู้ทางวิชาการ หรือบอกให้
ทราบถึงข้อมูลที่เป็นความจริง โดยมีการอ้างอิง สารคดีมักเขียนเพื่อผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม
นักเขียนบทความโดยมากสังกัดหนังสือพิมพ์ แต่นักเขียนสารคดีอาจเป็นอิสระ 






วิธีเขียนบทความและสารคดีโดยทั่วไป



เนื่องจากบทความและสารคดีมีลักษณะและวิธีเขียนที่คล้ายคลึงกันบางส่วน ในที่นี้จะกล่าวถึงรวมกัน 

บีบจุดเด่น (focus) ของเรื่องให้แคบ เมื่อเปรียบเทียบกับข่าว ข่าวจะต้องตอบคำถาม ใคร- 

ทำอะไร - ที่ไหน - เมื่อไร - อย่างไร - ทำไม แต่บทความและสารคดีต้องเลือกตอบคำถามข้างต้นเพียงคำถามเดียว

2. สร้างแก่น (theme)

3. สร้างลีลา (style) เฉพาะตน

4. สร้างเอกภาพ (unity)

5. เชื่อมระหว่างย่อหน้า (transitions)

6. วิธีสรุป (ending / conclusion) จบได้หลายอย่าง เช่น 

6.1 จบด้วยเนื้อความย่อ หรือจุดสำคัญ (climax) ของเรื่อง 

6.2 จบด้วย flashback ย้อนหลัง เช่น ยกเอาประโยคนำ (lead) มาจบ (จะกล่าวต่อไป)

7. รูปแบบของความนำมีหลายประเภท (จะกล่าวต่อไป)

การตั้งชื่อบทความและสารคดี

ลักษณะชื่อเรื่องที่ดีโดยทั่วไป คือ เหมาะแก่กาลเทศะ คมขำ จำง่าย คลุมเนื้อเรื่องได้ดีที่สุด

วิธีตั้งชื่อ 

ตั้งชื่อตรงกับเนื้อเรื่อง หรือจับประเด็นสำคัญ ตรงจุดมุ่งหมาย 

ใช้คำคล้องจอง หรือมีสัมผัส หรือเล่นคำ 

ใช้คำกริยาแสดงอาการน่าสนใจ หรือใช้คำที่เร้าใจ ชวนสะดุ้ง 

ใช้คำตรงข้ามมาคู่กัน หรือขัดกัน 

ใช้คำพังเพย สุภาษิต คำคม คำขวัญ 

ตั้งชื่อเรื่องเป็นคำถาม 

ตั้งชื่อให้ผู้อ่านร่วมมือปฏิบัติตาม หรือเข้าถึงผู้อ่านโดยตรง 

พรรณนาให้เห็นภาพ (มักเป็นภาพสวยงาม) 

ใช้ชื่อคนเป็นชื่อเรื่อง 

สรุป การตั้งชื่อเรื่องต้องการความสะดุดใจ (Striking lead)

วิธีขึ้นต้น และวิธีลงท้าย

รูปแบบของการขึ้นต้น หรือความนำ มีหลายประเภท 

ข่าว 

คำถาม 

ข้อความที่บอกเจตนาหรือจุดมุ่งหมาย 

สรุปใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง 

ข้อความที่กระทบใจ หรือแปลกประหลาดโลดโผน 

เรื่องเล่า / ตำนาน / นิยาย ฯลฯ 

สุภาษิต / คำพังเพย / บทประพันธ์ / คำกล่าว / อุปมาอุปไมย ฯลฯ 

ทักทายหรือปราศรัยกับผู้อ่าน 

พื้นความหลัง หรือเล่าเรื่องดั้งเดิม 

บทพรรณนา 

เกร็ดขำขัน 

ข้อความที่ตรงกันข้าม 

ส่วนวิธีลงท้ายก็มีหลายประเภทเช่นกันคือ 

ตอบคำถาม (ที่ตั้งไว้) 

สรุปใจความสำคัญ 

เรียกร้องขอความร่วมมือ 

แสดงมติ ความคิดเห็น หรือความประสงค์ของผู้เขียน 

ใช้บทประพันธ์ สุภาษิต ฯลฯ ลงท้าย 

เล่นคำ มีสัมผัสในข้อความ 

ใช้รูปประโยคที่สะดุดใจ (striking) 

ลักษณะเฉพาะของบทความ 

ลักษณะทั่วไปของบทความ (ไม่ใช่สารคดี) 

ต้องเป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนั้น อาจเป็นปัญหาที่คนกำลังอยากรู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือมีผลอย่างไร หรือเป็นเรื่องที่เข้ายุคเข้าสมัย 

2. ต้องมีแก่นสาร มีสาระ อ่านแล้วได้ความรู้หรือความคิดเพิ่มเติม มิใช่เรื่องเลื่อนลอยไร้สาระ

3. ต้องมีทัศนะ ข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะของผู้เขียนแทรกไว้ด้วย

4. มีวิธีเขียนชวนให้อ่าน อ่านแล้วท้าทายความคิด พร้อมกันนั้นก็สนุกเพลิดเพลินจากความคิดในเชิงถกเถียงโต้แย้งนั้น

5. เนื้อหาสาระและสำนวนภาษาเหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะผู้อ่านที่มีการศึกษาน้อยจะนิยมอ่านข่าวมากกว่าบทความ

ลักษณะเด่น 

เป็นความเรียงร้อยแก้วที่นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะบนพื้นฐานของการโต้แย้งแสดงเหตุผล 

มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสาธารณชนในวงกว้าง และยังไม่มีข้อยุติที่จะยอมรับร่วมกัน 

ย่อยข้อมูลจำนวนมากมาเป็นแนวทางของการมองปัญหาอย่างชัดเจน สั้น กระชับ มีลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านหาข้อสรุปได้ 

ลักษณะโดยย่อของบทความทั่วไปตามที่ควรจะเป็น 
น่าสนใจ 

ขนาดกะทัดรัด 

มีสาระ มีแก่นสาร สามารถพิสูจน์ได้ 

ศึกษาเรื่องที่จะเขียนให้เข้าใจลึกซึ้ง (โดยเฉพาะทางวิชาการ) 

ในหนังสือพิมพ์ทั่ว ๆ ไป (ไม่ใช่นิตยสารหรือวารสาร) บทความจะมีลักษณะดังนี้ 

สั้นกว่าสารคดี 

ใช้ย่อหน้าสั้น ๆ เพราะหน้าหนังสือพิมพ์มีที่จำกัด 

เขียนเพื่อผู้อ่านทั่วไป จึงเป็นเรื่องพื้น ๆ ทั่ว ๆ ไป (แต่สารคดีเขียนเพื่อผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม) 

อาจนำเรื่องเล็ก ๆ ที่คนมองข้ามมาแต่งเติมให้น่าอ่าน ไม่ต้องอ้างอิงมาก 

เน้นที่ตัวเหตุการณ์ 

นิยมคัดคำพูดหรือจดหมายของบุคคลอื่น หรือผู้ที่เป็นข่าวมาลงโดยไม่ตีความ 

มีการจัดระเบียบโครงเรื่องและภาษาไม่ค่อยเรียบร้อยสละสลวยเท่าสารคดี เนื่องจากเวลาส่งต้นฉบับจำกัด 

คุณสมบัติของบทความที่ดี 

มีข้อมูลน่าเชื่อถือ และรอบด้าน 

มีข้อคิดเห็นที่สมเหตุสมผล ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ 

มีข้อเสนอแนะหรือข้อยุติที่เป็นไปได้ 

ระดับในการแสดงความคิดเห็นมี 3 ระดับ (บทความทั่วไปอาจมีไม่ครบ 3 ระดับก็ได้) 

ระดับอธิบายความ ได้แก่การเสนอข้อมูล 

ระดับวิพากษ์วิจารณ์ 

ระดับเสนอแนวทางแก้ปัญหา 

พลังของบทความและบทวิเคราะห์อยู่ที่ 

ความคิดที่ชัดเจน 

ความรู้ที่น่าเชื่อถือ 

ภาษาที่เหมาะสมและมีน้ำหนัก 

ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการใช้ภาษาในบทความ

1. ภาษาประกอบด้วยคำ ซึ่งอาจมีความหมายนัยเดียวหรือหลายนัย และอาจดิ้นได้

2. ภาษาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

3. ภาษามีหลายระดับ

จึงต้องระวังภาษาให้มีคุณสมบัติดังนี้ 

ความหมายถูกต้องตามที่คิด 

เข้าใจง่าย อ่านหรือฟัง เข้าใจสะดวก 

เหมาะสมแก่กาลเทศะ ฐานะของบุคคล 

มีระเบียบแบบแผนถูกหลักภาษา (ต่างจากพาดหัวข่าว) 

มีพลังมีเสน่ห์ ให้ผลสมดังตั้งใจ 

นอกจากนี้ยังต้องระวังดังนี้ 

หลีกเลี่ยงภาษาพูด ถ้าเขียนในหนังสือพิมพ์ 

ไม่ควรใช้อักษรย่อ 

หลีกเลี่ยงคำคะนอง (slang) ศัพท์เฉพาะกลุ่ม (jargon) และภาษาต่างประเทศ ถ้าทำได้ 

ถ้าเป็นบทความเชิงวิจารณ์ ควรเสนอความคิดเห็นด้วยใจเป็นกลาง ใช้ภาษาสุภาพ ไม่ประชดประชัน 

ลงท้ายด้วยภาษาที่กินใจให้แง่คิด ชวนคล้อยตาม 

บทบรรณาธิการ (Editorial)

คือเรียงความหรือบทความขนาดสั้นที่บรรณาธิการ (หรือผู้ใดผู้หนึ่งในกองบรรณาธิการ) เขียนขึ้นเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์ ในนามของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น สะท้อนให้เห็นทิศทางของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น 
อยู่ในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นคนละอย่างกับบทบรรณาธิการ (ซึ่งจะเรียกว่า จากบรรณาธิการ บรรณาธิการแถลง ฯลฯ) ของนิตยสารหรือวารสาร ซึ่งจะแจ้งเนื้อหาของหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการแสดงความคิดเห็น
บทบรรณาธิการมักมีชื่อเรื่องด้วย และมีเนื้อที่อยู่ประจำทุกฉบับ (อาจอยู่ในหน้า 2 หรือ 3 หรือ 4) โดยมักมีชื่อหนังสือพิมพ์ และฉบับที่ วันที่ กำกับอยู่ข้างบน

จุดมุ่งหมายของบทบรรณาธิการ 

รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่สนใจ 

แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ที่เป็นข่าว 

อธิบายเหตุการณ์ / สถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นที่กล่าวขวัญ 

ชี้ข้อบกพร่องของหน่วยงานต่าง ๆ และกระตุ้นให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน 

เสนอแนะวิธีปฏิบัติ 

คัดค้านความคิดเห็นหรือนโยบายที่ไม่เหมาะสมของหน่วยงานต่าง ๆ โดยกล่าวในทางที่เป็นประโยชน์ 

เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้วินิจฉัยหรือพิจารณา หรือวิเคราะห์เหตุการณ์ได้อย่างเป็นธรรม เป็นการกระตุ้นสติปัญญาผู้อ่าน 

ลักษณะของภาษา

ลักษณะของบทบรรณาธิการเป็นบทความเชิงวิชาการ แต่ไม่ควรใช้ศัพท์วิชาการมากเกินไป เพราะผู้อ่านคือมวลชน มีหลายระดับ ระดับความรู้ก็ต่างกัน จึงควรใช้ภาษาทางการ หลีกเลี่ยงภาษาปาก คำคะนอง อักษรย่อ และคำต่างประเทศ ถ้าเป็นไปได้

ส่วนต่าง ๆ ของบทความ บทวิเคราะห์ และบทบรรณาธิการ 

ชื่อเรื่อง 

คำนำ 

เนื้อเรื่อง 

สรุป 








อธิบายค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ



1.มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติในปัจจุบัน ทุกชาติจะพัฒนาได้หากเสาหลักหรือสถาบันหลักของชาติเข้มแข็งด้วยความรักอย่างถูกวิธีของคนในชาติ สมัยจอมพล ป.สถาบันชาติเข้มแข็งมาก แต่อาจจะไม่สมดุลในสถาบันอื่นๆ ส่วนสมัยจอมพลสฤษดิ์ สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็งมาก ในสมัยพลเอกประยุทธ์ เราหวังอย่างยิ่งที่จะเห็น 3 สถาบันหลักของชาติมีความเข้มแข็งอย่างสมดุลดีงาม ชาติบ้านเมืองสงบคนรักในความเป็นไทยและชาติของเรา พร้อมไปกับยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของศาสนาขัดเกลาใจคนมีคุณธรรม และยึดมั่นในการเคารพรักพร้อมทั้งเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้อยู่เหนือสิ่งใด



2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม เรื่องนี้สรุปได้สั้นๆว่า คนไทยต้องมีค่านิยมจิตสาธารณะ ซื่อสัตย์ไม่คดโกงไม่เอาเปรียบคนอื่น เสียสละเพื่อส่วนรวมไม่เห็นแก่ตัว อดทน และมีอุดมการณ์ต่อส่วนรวม จิตสำนึกนี้ใครเห็นใครก็ชม ตัวอย่างนี้ญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดี




3. กตัญญู ต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ข้อนี้มั่นใจว่าเป็นคุณลักษณะเด่นของคนไทยทุกยุคสมัยอยู่แล้ว



4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษา เล่าเรียน ทางตรงและทางอ้อม ประเทศชาติจะพัฒนาได้บุคลากรของคนในชาติต้องมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางวิชาการและทางทักษะความสามารถ คนในชาติมีปัญญามีความรู้ คนในชาติอีกส่วนก็สนับสนุนในภูมิปัญญาความรู้ของคนไทยด้วยกัน เพื่อสร้างค่านิยมใฝ่รู้ใฝ่เรียน เชิดชูคนมีปัญหาให้มากกว่าคนมีทรัพย์สินเงินตรา


5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม ข้อนี้ขอเถอะครับ อยากให้มันเด่นชัดออกมามากๆ จริงๆ เรามีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมากมายทัดเทียมระดับโลก เพราะบูรพกษัตริย์ของไทยแต่โบราณรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ เรื่องนี้สอดคล้องกับสถาบันหลักของชาติทั้งหมด ตอนดูภาพยนตร์เรื่อง Grace of Monaco ตะวันตกเขาร้องโอเปร่ากันจนโด่งดังข้ามความนิยมมาถึงเอเชีย ส่วนการแสดงของไทยเราอย่างโขน ปี่พาทย์ ก็อลังการชนะเลิศไปกว่ามากทีเดียว นอกจากนี้ประเทศของเราน่าจะมีหน่วยงานที่ดูแล National Treasure ทุกรูปแบบทั้งสถานที่ทั้งที่สร้างเองและธรรมชาติ สิ่งของที่ประดิษฐ์อย่างประณีตโดยคนในชาติเรา บุคคลสำคัญ รวมไปถึงหนังสือและองค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาติไทยเรา มารักษา ทำนุบำรุง สร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นงานลักษณะพัฒนาอย่างจริงจัง แล้วสร้างจุดขายเชิงรุกให้ประเทศ



6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน



7. เข้าใจ เรียนรู้ การเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง ย้ำว่า "ที่ถูกต้อง" นะครับ


8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่ คนไทยต้องซึมซาบจากการเข้าแถว เคารพในการมีระเบียบวินัย จะสร้างการเรียนรู้ไปถึงการเคารพบุคคลอื่น จากนั้นเราก็จะหนักแน่นในการเคารพกฎหมาย



9. มีสติ รู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่าย จำหน่าย และขยายกิจการ เมื่อมีความพร้อม โดยมีภูมิคุ้มกันที่ดี
เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เป็นการขัดแย้งกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่ฝ่ายไม่หวังดีจงใจโจมตี แต่เป็นการพยุงการเติบโตเศรษฐกิจในแต่ละการพัฒนาให้มีการเติบโตที่เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่หวือหวา แจกรถ ปลดหนี้ ให้บ้าน แบบที่รัฐบาลที่แล้วเพาะเชื้อเอาไว้



11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป ตามหลักของศาสนา ย้ำตรง "ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป" ตัวอย่างผ่านไปหมาดๆ กรณีผู้ว่าการรถไฟคนที่แล้ว


12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และต่อชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

ทั้งหมดนี้คือค่านิยมหลักของคนในชาติที่น่านำไปแต่งเป็นเพลงเหมือนเพลงวันเด็กที่เราท่องจำจนขึ้นใจ จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ทำให้เด็กในยุคสมัยหนึ่งโตขึ้นมาด้วยการหล่อหลอมแบบนั้น เรื่องแบบนี้ ย้ำกันไปไม่เสียหายครับ หากคนไทยยึดมั่นตามค่านิยมชาติที่เน้นทั้งเรื่องการพัฒนาตัวเองทั้งในด้านความสามารถ ทั้งคุณธรรม ศีลธรรม เพื่อร่วมมือกันทำให้ชาติบ้านเมืองและส่วนรวมดีขึ้น เหล่านี้ล้วนดีทั้งนั้น เหล่านี้ล้วนยิ่งต้องเผยแพร่ให้ขึ้นใจ ให้ฝังใจ วันใดคนไทยเข้มแข็ง ชาติเราก็จะเข้มแข็ง




วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559



                     เพลง ..กลับมารักกัน

เนื้อเพลง 



มองมาที่ฉันที ที่ฉันคนนี้ที่มันเจ็บ

เธอทำให้ความรักเราไม่เหมือนเก่า

เธอโยนมันทิ้งไป เธอรู้ไหมมีใครต้องเสียใจ รู้หรือเปล่า

เธอทำกันได้ลง อย่างกับคนที่ไม่เคยรู้จัก

ไม่เคยที่จะคิดเลย ว่าเป็นเธอ

ยังเป็นคนที่รักเธอ หากว่าใจเธอยังคงเหมือนเดิม

ฉันจะรอเธอ ฉันคนเดิม

โปรดกลับมารักกัน ฉันยังรอแต่เธอ


อย่าทอดทิ้งรักเรา ฉันคงทนไม่ไหว


อย่าปล่อยให้ฉันต้องทรมาน


ฉันจะพร้อมเข้าใจ เหตุผลที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป

มันทำให้ฉันจม อยู่ในความมืดมิดของวันก่อน


ใจหนึ่งก็ยังรักเธอ ซะเหลือเกิน

เธอทำลายความไว้ใจ เธอรู้ไหมมีใครที่เสียใจ


คนที่รักเธอ ฉันคนเดิม

โปรดกลับมารักกัน ฉันยังรอแต่เธอ

อย่าทอดทิ้งรักเรา ฉันคงทนไม่ไหวอย่าปล่อยให้ฉันต้องทรมาน

ฉันจะพร้อมเข้าใจ เหตุผลที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป

โปรดกลับมารักกัน ฉันยังรอแต่เธอ

อย่าทอดทิ้งรักเรา ฉันคงทนไม่ไหว

อย่าปล่อยให้ฉันต้องทรมาน 

ฉันจะพร้อมเข้าใจ เหตุผลที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป 

ยังคิดถึงเธอ ขอให้เหมือนเดิม ฉันรักเธอ

โปรดกลับมารักกัน ได้โปรดกลับมารักกัน

ฉันยังรอแต่เธอ ฉันยังรอแต่เธอ ฉันรักเธอ






เพลง... กอด
เนื้อเพลง


คำว่ารัก รู้ดีว่าคงไม่พอ

จะเหนี่ยวรั้งให้เธอ

กลับมาเหมือนเดิม

เมื่อเธอต้องการ

เลือกเดินจากไป

ก็พอเข้าใจ

พร้อมยอมปล่อยมือเธอ

แต่ก่อนที่คำว่าเรา

จะกลายเป็นความรักเก่า

อยากจะขอแค่เพียง

กอดเธอได้ไหม

ก่อนเธอจะทิ้งไป

ให้มันซึ้งถึงหัวใจ

จนนาทีสุดท้าย

เจ็บช้ำแค่ไหน

แม้ว่าใจจะทรมาน

อุ่นไอเธอนั้นยังช่วยบรรเทา

ดีแค่ไหน ที่เธอยังเคยรักกัน

ผิดที่ฉันมันมี มีแค่หัวใจ

ก็ไม่โทษเธอ แม้ทนไม่ไหว

จะไม่ฝืนใจ

ฉันยอมปล่อยมือเธอ

แต่ก่อนที่คำว่าเรา

จะกลายเป็นความรักเก่า

อยากจะขอแค่เพียง

กอดเธอได้ไหม

ก่อนเธอจะทิ้งไป

ให้มันซึ้งถึงหัวใจ

จนนาทีสุดท้าย

เจ็บช้ำแค่ไหน

แม้ว่าใจจะทรมาน

อุ่นไอเธอนั้นยังช่วยบรรเทา

ขอเพียงเสี้ยวนาที

ที่เหลือ โอ้...เย้

อยู่ในอ้อมกอด

เพื่อย้อนคืนวันเก่า

ก็เหลือเพียงความอ้างว้าง




กอดเธอได้ไหม

ก่อนเธอจะทิ้งไป

ให้มันซึ้งถึงหัวใจ

จนนาทีสุดท้าย

เจ็บช้ำแค่ไหน

แม้ว่าใจจะทรมาน

อุ่นไอเธอนั้นยังช่วยบรรเทา

หัวใจฉัน



วิดีโอ ตลก อิอิ..



วิดีโอที่ฉันช๊อบ ชอบบบ




รายงาน
เรื่อง....นิทานพื้นบ้าน

จัดทำโดย
1. นางสาว สุวนันท์ สุขราม เลขที่ 9 ชั้น ม.3
2. นางสาว วาสนา เกื้อหล่อ เลขที่ 16 ชั้น ม.3
3.นางสาว มณีพรรณ มากชิต เลขที่ 12 ชั้น ม.3
4.นางสาว สุภาพร ราชมนตรี เลขที่ 11 ชั้น ม.3
5.นางสาว วิธิตา คงหาเพ็ชร เลขที่ 18 ชั้น ม.3

เสนอ
คุณครู อรวรรณ ยิ่งดำนุ่น
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา คอมพิวเตอร์
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559

เรื่องที่..1
ปลาบู่ทอง..
 เศรษฐีชื่อทารกะมีอาชีพจับปลา มีภรรยา 2 คน เมียหลวงชื่อนางขนิษฐา มีลูกสาวชื่อเอื้อย เมียน้อยชื่อนางขนิษฐี มีลูกสาว 2 คน คนโตชื่ออ้าย คนเล็กชื่ออี่ นางขนิษฐีเมียน้อยมีจิตริษยาเมียหลวง จึงใช้เล่ห์กลมารยาพูดยุแหย่สามีอยู่ตลอดเวลา เช้าวันหนึ่ง        ทารกะออกหาปลาพร้อมกับนางขนิษฐา จนกระทั่งสายทอดแหได้ปลาบู่ทองขึ้นมาเพียงตัวเดียว พอนางขนิษฐาขอปลาบู่ทองเพื่อจะให้ลูกสาวเลี้ยงเอาไว้ ทารกะโมโหจึงคว้าพายขึ้นมา ตีนางขนิษฐาด้วยความโกรธ จนนางขนิษฐาสลบ และผลักนางขนิษฐาตกน้ำไป  เอื้อยเมื่อขาดแม่แล้ว ก็ถูกนางขนิษฐีพร้อมทั้งลูกสาวทั้งสองรุมกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ  และใช้เอื้อยทำงานหนักตลอดเวลา เย็นวันหนึ่งหลังจากที่เอื้อยทำงานบ้านเสร็จแล้วได้มานั่งเล่นที่ท่าน้ำและร้องไห้ด้วยความคิดถึงแม่ นางขนิษฐามีความห่วงใยลูกสาว เมื่อตายไปก็มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และว่ายน้ำมาที่ท่าน้ำที่เอื้อยนั่งอยู่พร้อมกับร้องเรียกเอื้อย เอื้อยจำเสียงแม่ได้จึงมองหาเสียงนั้นก็เห็นปลาบู่ทอง จึงรู้ว่าแม่มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง แม่จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอื้อยฟัง  นางขนิษฐีสืบได้ว่านางขนิษฐามาเกิดเป็นปลาบู่ทอง จึงให้อ้ายไปจับปลาบู่ทองมา
ทำเป็นอาหาร เมื่อได้ปลามาก็ขอดเกล็ด เอื้อยรีบนำข้าวคลุกรำไปที่ท่าน้ำร้องเรียกหาแม่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ปรากฏร่างของแม่ปลาบู่ทองเลย เอื้อยก็เอะใจแม่จะต้องได้รับอันตรายแน่นอน เอื้อยเดินกลับบ้านด้วยความเสียใจ เป็ดซึ่งเดินป้วนเปี้ยนใกล้ๆ กับที่เอื้อยนั่งทอดอาลัยอยู่ เป็ดได้พูดขึ้นว่าแม่ปลาบู่ทองของเอื้อยตายเสียแล้ว พร้อมทั้งคลายเกล็ดปลาบู่ทองให้เอื้อย เอื้อยจึงเอาเกล็ดปลาบู่ทองมาอธิษฐาน ขอให้แม่เกิดเป็นต้นมะเขือเปราะ และด้วยคำอฐิษฐานนั้นต้นมะเขือเปราะก็ได้เกิดขึ้น  เอื้อยดีใจคอยเฝ้ารดน้ำต้นมะเขือทุกวันจนงอกงามมีลูกเต็มต้น นางขนิษฐีแม่เลี้ยงได้รู้เรื่องต้นมะเขือที่เอ้อยปลูกไว้ จึงสั่งให้อ้ายไปตัดทำลายเสีย เอื้อยกลับมาเห็น
ต้นมะเขือถูกฟันทิ้ง เอื้อยเก็บเม็ดมะเขือที่เหลืออยู่ แอบไปอฐิษฐานปลูกให้เป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ต้นโพิธิ์เงินโพธิ์ทองงอกงามเป็นประกายระยิบระยับ ท้าวพรหมทัตได้เสด็จออกประพาสป่า ได้พบต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็ทรงพอพระทัย ได้รับสั่งให้ทหารถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองเพื่อที่จะนำไปปลูกในพระราชวัง แต่ไม่สามารถถอนขึ้นได้ และทรงทราบว่าเป็นของเอื้อย จึงรับสั่งให้เอื้อยจัดการนำเอาไปปลูกในพระราชวังได้สำเร็จ และเอื้อยก็ได้เป็นพระมเหสีของท้าวพรหมทัต นางขนิษฐีได้ออกอุบายให้อ้ายเข้าวังไปบอกเอื้อยให้รีบกลับมาเยี่ยมพ่อที่บ้าน พ่อป่วยหนัก เอื้อยหลงกลจึงกลับบ้านเมื่อเดินเข้าบ้านก็เหยียบกระดานที่แม่เลี้ยงทำไว้ ตกลงไปในกระทะร้อนที่กำลังเดือดอยู่ ขาดใจตายในทันที      หลังจากเอื้อยตายแล้วนางขนิษฐีก็ให้อ้ายแต่งตัวเข้าไปในวังเป็นมเหสีแทนเอื้อย วิญญาณของเอื้อยได้ไปเกิดเป็นนกแขกเต้าและบินกลับมาที่วังได้พบกับท้าวพรหมทัต นกแขกเต้าได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท้าวพรหมทัตฟังทั้งหมด เมื่อท้าวพรหมทัตทราบดังนั้นจึงได้พระราชทานกรงทองแขวนไว้อยู่หน้าเฉลียงห้องบรรทม    วันหนึ่งท้าวพรหมทัตได้เสด็จออกนอกพระราชวัง เพื่อทรงคล้องช้าง อ้ายมีจิตริษยาอยู่แล้ว เมื่อเห็นได้โอกาสเช่นนั้น จึงได้จับนกแขกเต้าออกมาถอนขนจนหมด
ทั้งตัวแล้วส่งให้แม่ครัวนำไปแกงคั่ว ยังไม่ทันที่แม่ครัวจะทำอะไร พอแม่ครัวเผลอ  นกแขกเต้าก็หนีกระเสือกกระสนเข้าไปในรูหนู และอาศัยอยู่จนกระทั่งขนขึ้นจนหมดตัวเหมือนเดิม นกแขกเต้าอำลาหนูแล้วบินไปอาศัยอยู่กับพระฤาษี พระฤาษีล่วงรู้อดีตของนกแขกเต้าว่าเป็นมาอย่างไร จึงได้ชุบนกแขกเต้าให้กลับกลายร่างเป็นเอื้อยเหมือนเดิม  พร้อมทั้งชุบร่างกุมารน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกคนเพื่อเป็นลูกของเอื้อย ชื่อ ลบกุมาร  ลบกุมารอยากไปพบเสด็จพ่อท้าวพรหมทัตจึงอ้อนวอนแม่เอื้อย    แม่เอื้อยจึงอนุญาตให้ไปและมอบพวงมาลัยปริศนาให้ลบกุมารคล้องคอไปด้วย เมื่อลบกุมารได้พบท้าวพรหมทัต และได้ทรงเห็นพวงมาลัยที่คล้องคอลบกุมาร ก็แจ้งในพระทัยว่าเอื้อยยังมีชีวิตอยู่ จึงจัดขบวนเสด็จไปรับเอื้อยเข้าพระราชวัง และเอื้อยทูลขอให้รับนางขนิษฐีแม่เลี้ยงและพ่อเข้ามาอยู่ในพระราชวังด้วย ส่วนอ้ายนั้นกลัวถูกประหารชีวิตจึงชิงฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพิษ ท่านท้าวพรหมทัตและนางเอื้อย ลบกุมารก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

เรื่องที่...2
ไกรทอง
ชาละวันเป็นจระเข้เจ้า อาศัยอยู่ในถ้ำทองใต้บาดาล ในถ้ำทองจระเข้จะกลายร่าง เป็นคนได้ ชาละวันตอนกลายร่างเป็นคนจะเป็น หนุ่มรูปงาม โดยชาละวันเองมีเมียสาว สวยเป็นนางจระเข้ 2 ตัว
    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
ชาละวันเป็นจระเข้เจ้า อาศัยอยู่ในถ้ำทองใต้บาดาล ในถ้ำทองจระเข้จะกลายร่าง เป็นคนได้ ชาละวันตอนกลายร่างเป็นคนจะเป็น หนุ่มรูปงาม โดยชาละวันเองมีเมียสาว สวยเป็นนางจระเข้ 2 ตัวคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ ชาละวันเป็นหลานชายของ ท้าวรำไพ ผู้เป็นจระเข้เจ้าที่อยู่ในศีลธรรม ไม่เคยจับสัตว์หรือมนุษย์กินเป็นอาหารและ จะกินแต่ซากสัตว์ที่ตายแล้วเป็นอาหารเท่านั้น ชาละวัน แม้อยู่ในถ้ำทองจะอิ่มทิพย์ไม่ต้อง กินเนื้อ แต่ ด้วย ความมีนิสัยที่เป็น อันธพาล จึง ชอบมาเมืองบน ตามแม่น้ำลำคลอง จับคนที่เป็นชาวบ้านและสัตว์กินเพื่อความสนุกสนาน
ณ หมู่บ้านดงเศรษฐี แขวงเมืองพิจิตร มีพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง มีความงามเป็นที่ เลื่องลือ ชื่อนางตะเภาแก้ว ผู้พี่ และนางตะเภาทอง ผู้น้อง ทั้งสองเป็นบุตรเศรษฐีคำ และ คุณนายทองมา วันหนึ่งนางตะเภาแก้วและนางตะเภาทองได้ลงไปเล่นน้ำที่ท่าหน้าบ้าน ช่วงเวลานั้นเจ้าชาละวัน ซึ่งเป็นจระเข้ได้ออกมาว่ายน้ำหาเหยื่อ เมื่อได้เห็นนางตะเภาทอง ก็ลุ่มหลงในความงาม จึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำเข้าไปคาบนางตะเภาทองแล้วดำดิ่งไปยังถ้ำทอง อันเป็นที่อยู่ของเจ้าชาละวัน เมียของชาวละวันคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ เห็นก็ไม่ พอใจแต่ก็ห้ามสามีไม่ได้เพราะเกรงกลัวจึงต้องยอมให้ผัวมีเมียเป็นมนุษย์อีกคน เมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมาเจ้าชาละวันก็เกี้ยวพาราสี แต่นางตะเภาทองก็ไม่สนใจ เจ้าชาละวันจึงจำต้องใช้เวทมนตร์สะกดให้นางตะเภาทองหลงรัก และยอมเป็นภรรยา ตั้งแต่นั่นมา
เศรษฐีคำ และคุณนายทองมาโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ที่นางตะเภาทอง บุตรสาวคนเล็กถูกเจ้าชาละวันคาบไป และคิดว่าบุตรสาวตนคงตายไปแล้ว ด้วยความรัก ในบุตรสาว และความแค้นในเจ้าชาละวัน จึงประกาศออกไปว่าใครที่พบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ตัวนี้ได้จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และจะให้แต่งงาน กับนางตะเภาแก้วด้วย แต่ก็ไม่มีหมอจระเข้คนไหนสามารถปราบเจ้าชาละวันได้ นอกจาก กลายเป็นเหยื่อของเจ้าชาละวันคนแล้วคนเล่า จนในที่สุดก็มีชายหนุ่มรูปงาม นามว่าไกรทอง ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาการปราบจระเข้จากอาจารย์คง จนมีความเก่งกล้า ได้อาสามาปราบเจ้า ชาละวัน แต่อาจารย์คงรู้ว่าเจ้าชาละวันเป็นพญาจระเข้มีอำนาจมาก และหนังเหนี่ยว ฆ่าฟันไม่ตาย เนื่องจากมีเขี้ยวเพชรทำให้อยู่ยงคงกระพัน จึงได้มอบหอกสัตตโลหะ , เทียนระเบิดน้ำ เสื้อยันต์และลูกประคำปลุกเสก แก่ไกรทอง
รุ่งเช้าตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมอ่านคาถา ทำให้เจัาชาละวันเกิดร้อนลุ่มต้องออกจาก ถ้ำขึ้นมาต่อสู้กับไกรทอง ไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ และแทงด้วยหอกสัตตโลหะ ทำให้อาคมของเขี้ยวเพชรเสื่อม หอกได้ทิ่มแทงเจ้าชาละวันจนบาดเจ็บสาหัส และได้หนี กลับไปที่ถ้ำ แต่ไกรทองก็ใช้ เทียนระเบิดน้ำ ตามไปต่อสู้อีกในถ้ำ
ระหว่างที่เข้าไปในถ้ำไกรทองก็พบกับ วิมาลา เมียของชาละวัน ด้วยความเจ้าชู้ จึงเกี้ยวพาราสี นางวิมาลา จนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ และบอกทางไปช่วย นางตะเภาทอง
ไกรทองตามมาต่อสู้กับเจ้าชาละวัน ในถ้าต่อจนเจ้าชาละวันตาย และไกรทองก็ได้ พานางตะเภาทองกลับขึ้นมา เศรษฐีดีใจมากจึงจัดงานแต่งงานให้ไกรทองกับนางตะเภา แก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แถมนางตะเภาทองให้อีกคน ไกรทองจอมเจ้าชู้ก็รับไว้ ด้วยความยินดี
แต่ยังไม่จบแค่นั้นด้วยความเจ้าชู้ของไกรทองแม้ชาละวันตายไป ไกรทองก็ยังหลง รสรักกับนางวิมาลา จงไปหาสู่ที่ถ้ำทอง และคิดจะพานางวิมาลาไปอยู่กินด้วย โดยทำพิธีทำ ให้นางยังคงเป็มมนุษย์แม้ออกนอกถ้ำทอง นางตะเภาแก้ว และ นางตะเภาทอง จับได้ว่า สามีไปมาหาสู่ นางจระเข้จึงไปหาเรื่องกับนางในร่างมนุษย์จนนางวิมาลาทนไม่ไหวกลับ ร่างเป็นจระเข้และไกรทองต้องออกไปห้ามไม่ให้เมียตีกันและอำลาจากนางวิมาลา ด้วย ใจอาวร


เรื่องที่...3
สังข์ทอง

ณ เมืองยศวิมลนคร อันมีท้าวยศวิมลเป็นเจ้าเมือง พระมเหสีจันเทวีได้คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ จึงถูกพระนางจันทา มเหสีรอง ใส่ร้ายว่าเป็นกาลีบ้านเมือง จนถูกขับออกจากเมืองไปอยู่กระท่อมตายายที่ชายป่า จนกระทั่งพระสังข์ที่ซ่อนอยู่ในหอย ได้ออกมาพบแม่ สร้างความยินดีกับพระนางจันเทวีมากข่าวล่วงรู้ไปถึงนางจันทา จึงได้ส่งคนมาจับพระสังข์ไปถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์พญานาคราชช่วยเอาไว้ และส่งให้ไปอยู่กับ นางพันธุรัต พระสังข์รู้ว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์จึงขโมยรูปเงาะ ไม้เท้า เกือกแก้ว เหาะหนีมาอยู่บนเขา นางพันธุรัตตามมาทันแต่ ไม่สามารถขึ้นไปหาพระสังข์ได้ จึงได้มอบมนต์มหาจินดา เรียกเนื้อเรียกปลาให้แก่พระสังข์ก่อนที่จะอกแตกสิ้นใจตายที่เชิงเขา นั่นเอง พระสังข์เหาะมาจนถึงเมืองสามล ท้าวสามลและนางมณฑากำลังจัดพิธีเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด แต่รจนาพระธิดาองค์สุดท้อง ไม่ยอมเลือกใครเป็นคู่ ท้าวสามลจึงให้คนไปตามเจ้าเงาะมาให้เลือก รจนาเห็นรูปทองที่ซ่อนอยู่ในรูปเงาะจึงเสี่ยงมาลัยไปให้ สร้างความพิโรธให้ท้าวสามาลจึงถึงกับขับไล่รจนาให้ไปอยู่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะท้าวสามลหาทางแกล้งเจ้าเงาะ โดยการให้ไปหาเนื้อหาปลาแข่งกับเขยทั้งหก เจ้าเงาะให้มนต์ที่นางพันธุรัตให้ไว้เรียกเนื้อ เรียกปลามารวมกันทำให้หกเขยหาปลาไม่ได้ จึงต้องยอมตัดปลายหูและปลายจมูกแลกกับเนื้อและปลาท้าวสามลพิโรธมากจนถึงกับคิดหาทางประหารเจ้าเงาะ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องหาทางช่วยโดยการลงมาท้าตีคลีชิงเมือง กับท้าวสามล ท้าวสามลส่งหกเขยไปสู้ก็สู้ไม่ได้ จึงต้องยอมให้เจ้าเงาะไปสู้แทน เจ้าเงาะถอดรูปเป็นพระสังข์และสู้กับพระอินทร์ จนชนะ ท้าวสามลจึงยอมรับพระสังข์กลับเข้าเมืองและจัดพิธีอภิเษกให้ พระอินทร์ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล เพื่อบอกเรื่องราวทั้งหมด ท้าวยศวิมลจึงออกตามหาพระนางจันเทวีจนพบ และได้เดินทาง ไปเมืองสามลนครเพื่อพบพระสังข์ โดยพระนางจันเทวีได้ปลอมเป็นแม่ครัวในวังและได้แกะสลักเรื่องราวทั้งหมดบนชิ้นฟัก ให้พระสังข์เสวย ทำให้พระสังข์รู้ว่าแม่ครัวคือพระมารดานั่นเอง พระสังข์และรจนาจึงได้เสด็จตามท้าวยศวิมลและพระนาง จันเทวีกลับไปครองเมืองยศวิมลสืบไป

เรื่องที่...4
ยอพระกลิ่น

ท้าววรกรรณ และ พระนางบุษบง ได้จัดงานเลือกคู่พระธิดา ชื่อ เกศนี มีราชา และเจ้าชายจากต่างเมือง มาเลือกคู่มากมาย และนางกลับเลือกชายที่สติไม่เต็ม ท้าววรกรรณจึงขับไล่ออกนอกวัง ชายบ้าใบ้จึงคืนร่างกลายเป็นพระอินทร์ดังเดิม และพานางเกศนีขึ้นไปอยู่บนสวรรค์จนมีลูก แต่ทวยเทพจะมีลูกไม่ได้ผิดธรรมเนียม จึงนำลูกที่ชื่อยอพระกลิ่นมาไว้ในปล้องไผ่ จึงเสกของอำนวยความสะดวกให้แก่ยอพระกลิ่นจนโตเป็นสาว ทำให้ปล้องไผ่นั้นหอมอบอวลมณีพิชัย โอรสท้าวพิไชยนุราช และ นางจันทร แห่งกรุงอยุธยาได้ออกมาเที่ยว ได้กลื่อนจากปล้องไผ่ จึงใช้ดาบฟันปล้องไผ่ และปรากฏร่างหญิงสาว ชื่อ ยอพระกลิ่น จึงพยรักกัน และได้พานางเข้าวัง และบอกกับเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่า ยอพระกลิ่นเป็น ชายา(เมีย) ของตนท้าวพิไชยนุราชสุดแสนดีใจ แต่ฝ่ายแม่นั้นไซร้ เกลียดซังนางยอกพระกลิ่นอย่างยิ่ง เพราะ ลูกของตนได้หมั้นหมายกับองค์หญิงแห่งกรุงจีนไปแล้ว กลับพานางยอพระกลิ่นแล้วมาบอกว่าเป็นเมียเสียนี่วันหนึ่งนางคิดแกล้งจึงบอกสาวใช้เอาเลือดแมวและศพแมวไปทิ้งไว้ในห้องยอพระกลิ่น รุ่งขึ้น นางจันทรจึงบอกกับท้าวพิไชยนุราชว่า นางยอพระกลิ่นเป็นกระสือ ให้ไล่ออกไป เพราะหลักฐานและพยานหนาแน่นนางยอพระกลิ่นจึงถูกขับไล่ออกจากวัง และพ่อของยอพระกลิ่น ได้ลงมาบอกให้ลูกสาวแปลงกายเป็นพราหมณ์ รอแก้แค้นอยู่ที่อาศรมริมสระน้ำนี่วันหนึ่งนางจันทรมาอาบน้ำที่สระได้ถูกงูผิดที่แอบอยู่กับดอกบัวกัด นางเจ็บปวดแทบขาดใจกระเซอะกระเซิง เข้าวัง พราหมณ์ก็ได้ตามไปด้วยพร้อมกับบอกให้นางจันทรว่าจะรักษาพิษงูให้ หากนางยอมบอกความจริงว่ายอพระกลิ่นไม่ได้กินแมวนางรักษาให้ แต่หากไม่ยอมบอกจะปล่อยให้ตายนางจึงเล่าความจริงให้ฟัง และพอรักษาพิษงูได้ พราหมณ์ก็เอ่ยปากขอมณีพิชัยไปเป็นทาสสักระยะหนึ่งราชาก็ตกลงมณีพิชัยอยู่รับใช้พราหมณ์ที่อาศรมเป็นเวลานานหลายเดือน ถึงแม้พราหมณ์ยอพระกลิ่นจะแปลงกายเป็นสาวสวยมาลวงล่อให้หลงรัก แต่มณีพิชัยก็ไม่ชายตาแล พราหมณ์ยอพระกลิ่นเห็นว่า ผัวของตนซื่อสัตย์กับตนเองจึงคืนมณีพิชัยให้แก่เมืองอยุธยาดังเดิมทางกรุงจีนเมืองปักกิ่งได้เร่งรัดให้ทางเมืองอยุธยามาแต่งงานองค์หญิงเล็กเร็วๆสักที เจ้าชายมณีพิชัยจึงต้องไปอภิเษกกลัวจะเกิดสงครามใหญ่ พราหมณ์ยอพระกลิ่นจึงขอตามไปด้วย พอไปถึงเจ้ากรุงจีนได้ทราบว่ามณีพิชัยได้มีชายาแล้วจึงแกล้งให้มณีพิชัยยกขันหมากมา 1,000 ชุด หากไม่ได้จะถูกประหาร ทั้งสองจึงหนีหลงเข้าไปในเมืองยักษ์ สลบไร้สติเพราะมนต์แห่งเมืองยักษ์ นางวาสันจึงจับมณีพิชัยไปให้นางผกาลูกสาวที่ตำหนัก จนพราหมณ์ฟื้นเห็นนางผกาอยู่กับผัวของตนที่ตำหนัก ก็พร่ำรำพันต่างๆนานา แล้วก็แปลงกายเป็นนางยอพระกลิ่นดังเดิมจนหมดสติไปอีก พระอินทร์จึงต้องมาแก้ไขเรื่องราวแล้วเหาะมาส่งที่เมืองอยุธยา ทั้งสองจึงจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ และครองรักกันอย่างมีความสุข ตราบฟ้าดินมลาย 

เรื่องที่...5

พิกุลทอง




วันหนึ่งเจ้าหญิงพิกุลทองทูลลาพระบิดาไปเล่นน้ำกับพวกพี่เลี้ยง ขณะกำลังสนุกเพลิดเพลินกันอยู่นั้น เผอิญมีพญาแร้งตัวหนึ่งเจาะกินหมาเน่าซึ่งลอยมาตามกระแสน้ำส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ทำให้เจ้าหญิงและพี่เลี้ยงเกิดความไม่พอใจออกปากด่าว่าพญาแร้งไป
พญาแร้งเห็นว่าเจ้าหญิงเป็นถึงพระธิดาแต่กลับพูดจาหยาบคายด้วยการที่ตนกินซากสัตว์ซึ่งตายเน่าเหม็นนั้นเป็นไปตามวิสัยจึงเกิดความโกรธและอาฆาต ครั้นบินไปจนลับตาผู้คน พญาแร้งได้แปลงร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามแล้วไปขออาศัยอยู่กับตายาย เพื่อหาหนทางแก้แค้นเจ้าหญิง
หนุ่มรูปงามได้พยายามเอาอกเอาใจสองตายายด้วยการเนรมิตเงินทองให้ใช้ทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดู วันหนึ่งพญาแร้งได้ออกปากให้ไปขอเจ้าหญิงพิกุลทองมาเป็นภรรยาของตน สองตายายพยายามห้ามปรามแต่ก็ไม่เป็นผลจึงจำต้องไปทูลขอพระธิดา ท้าวสัณนุราชก็ทรงกริ้วตรัสว่าเมื่อไม่เจียมตัวมาขอเจ้าหญิงไปให้หลานชายก็จะยกให้ แต่ต้องสร้างสะพานเงินสะพานทองจากบ้านของสองตายายมาถึงพระราชวังให้เสร็จภายในวันรุ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นจะมีโทษถึงประหาร
สองตายายตกใจกลับมาถึงกระท่อมต่างคลุมโปงนอนตัวสั่นด้วยวามกลัว แต่พญาแร้งกลับบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก ครั้นพอเที่ยงคืนก็กลับสู่ร่างเดิมแล้วบินไปยังเขาเนินทะกาอันเป็นที่อยู่ของจน พร้อมสั่งเหล่าบริวารให้มาช่วย บริวารพญาแร้งแปลงร่างเป็นชายหนุ่มและช่วยกันเนรมิตรพักเดียวสะพานเงินสะพานทองรวมทั้งประสาทราชวังก็สำเร็จ
เจ้าหญิงพิกุลทองจำต้องอภิเษกสมรสกับพญาแร้งตามข้อสัญญา ตกกลางคืนพญาแร้งหมายจะกินเจ้าหญิงให้สมแค้น แต่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ด้วยเกิดเร่าร้อนทุกครั้งที่ไปถูดเนื้อต้องตัว ฝ่ายเจ้าหญิงได้กลิ่นเหม็นเน่าจากซากศพที่พญาแร้งกินเป็นอาหารก็บ่นว่าอยู่ตลอดคืนไม่ยอมให้เข้าใกล้ ครั้นรุ่งเช้าพญาแร้งได้ออกอุบายชวนเจ้าหญิงไปเยี่ยมบิดามารดาของตนดดยเรือสำเภา ใช้เวลาเดินทางอยู่สามเดือนจึงไปถึงเขตเขาเนินทะกา พญาแร้งบอกให้เจ้าหญิงกับเหล่าข้าราชบริพารตามเสด็จคอยอยู่ในเรือซึ่งจอดอยู่ที่ หาดปักษี ส่วนตนจะรีบไปจัดเตรียมต้อนรับแล้วจะมาเชิญเสด็จ แต่ความจริงพญาแร้งได้ไปสั่งให้เหล่าบริวารของตนมาช่วยกันจับคนของเจ้าหญิงกินเป็นอาหารโดยให้เว้นเจ้าหญิงไว้ตนจะกินเอง
ดวงชะตาของเจ้าหญิงพิกุลทองยังไม่ถึงฆาตจึงหนีเข้าไปซ่อนในเสากระโดงโดยความช่วยเหลือของแมย่านาง พญาแร้งหาเจ้าหญิงไม่พบเข้าใจว่าถูกกินเป็นอาหารไปแล้วจึงได้แต่แสดงความโกรธเกรี้ยวกับเหล่าบริวาร เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วเจ้าหญิงพิกุลทองจึงออกจากที่ซ่อนลงสรงน้ำ และได้จารึกเรื่องราวพร้อมนำเส้นผมใส่ผอบทองลอยไปตามน้ำเสี่ยงสัตย์อธิษฐานขอให้มีผู้มาพบและมาช่วยเหลือ ผอบทองลอยไปจนถึงเมือง ชัยมงกุฎ ซึ่งมี พระสังข์ศิลปชัย และ พระนางสุพรรณกัลยา เป็นผู้ปกครอง พระพิชัยมงกุฎ พระราชโอรสลงสรงน้ำเห็นผอบทองลอยมาจึงเสี่ยงสังข์วิเศษประจำตัวออกไป อธิษฐานเสี่ยงบารมีว่าหากเป็นผอบของศัตรูให้ทำลายเสีย แต่ถ้าเป็นของเนื้อคู่ก็ให้สังข์วิเศษช้อนมาให้ สังข์วิเศษช้อนผอบทองมาให้เจ้าชายพิชัยมงกุฎตามคำอธิษฐาน เมื่อเปิดออกดูพบเส้นผมมีกลิ่นหอม ครั้นอ่านเรื่องราวก็มีเสน่หารักใคร่ในเจ้าหญิงพิกุลทองถึงกับนอนซมคล้ายคนไข้หนัก พระบิดามารดาต้องอนุญาตให้นำสำเภาทองออกติดตามหาเจ้าหญิงตามความประสงค์
สำเภาทองแล่นอยู่กลางทะเลเป็นเวลาหลายวัน จนมาถึงเกาะใหญ่กลางทะเลแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของยักขินีมีนามว่า นางกาขาว นางยักษ์เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามอยู่ในเรือสำเภาก็เกิดความพึงพอใจบันดาลท้องฟ้าเกิดมืดครึ้ม เจ้าชายพิชัยมงกุฎจึงสั่งให้จอดพักสำเภา นางกาขาวได้เนรมิตรบ้านเมืองพร้อมปราสาทราชวังขึ้นมาบนเกาะแห่งนั้น ส่วนตนเองก็แปลงร่างเป็นสาวสวยโสภา พระพิชัยมงกุฎสงสัยว่าอาจจะเป็นเมืองของเนื้อคู่ที่กำลังติดตามหาจึงรีบเสด็จเข้าไปค้นหาในปราสาท พบนางกาขาวเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนางพิกุลทองจึงรับนางเป็นชายา ครั้นพอรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาได้กลิ่นสาบสางก็เอะใจว่านางคงไม่ใช่มนุษย์น่าจะเป็นยักษ์แปลงมา จึงรีบชวนเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จลงสำเภาทองหนีไป
เจ้าหญิงพิกุลทองรออยู่ ๗ วัน ครั้นเห็นเรือสำเภาทองของพระพิชัยมงกุฎมาถึงหาดปักษีก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ออกติดตามค้นหาและมาช่วยเหลือตามคำอธิษฐานจึงขอฝากตัวกับเจ้าชาย ฝ่ายพญาแร้งเมื่อสอบถามกับเหล่าบริวารได้ความว่าไม่มีผู้ใดจับเจ้าหญิงกินก็ดีใจชวนกันมาที่หาด
พอมาถึงพญาแร้งเห็นเจ้าหญิงพิกุลทองอยู่กับเจ้าชายพิชัยมงกุฎก็รีบนำบริวารเข้าโจมตีสำเภาทอง เกิดกสนต่อสู้กันอย่างแข็งขัน พญาแร้งพลาดท่าถูกศรของเจ้าชายถึงแก่ความตาย เหล่าบริวารที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันบินหนีไป เจ้าชายพิชัยมงกุฎจึงนำสำเภาทองเดินทางกลับบ้านเมืองและได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิกุลทองอย่างสมพระเกียรติ
วันหนึ่งเจ้าชายพิชัยมงกุฎได้พาเจ้าหญิงพิกุลทองพระมเหสีและพระโอรสทั้งสองพระองค์ คือ พระลักษณา วัย ๗ พรรษาและ พระยมยศ วัย ๔ พรรษา ไปพายเรือเก็บบัวในทุ่งให้เป็นที่สำราญพระทัย ฝ่ายนางยักษ์กาขาวเมื่อเจ้าชายพิชัยมงกุฎหนีออกมา นางก็ออกติดตามหาเป็นเวลาหลายปี จนมาพบและสบโอกาสในวันนี้ก็รีบแปลงกายเป็นดอกบัวทองผุดอยู่ใต้น้ำ เจ้าหญิงพิกุลทองเห็นนึกอยากได้ก็เอื้อมมือไปเด็ดเลยถูกนางยักษ์ดึงตัวตกจากเรือแล้วสาปให้เป็นชะนี ส่วนนางยักษ์แปลงร่างเป็นเจ้าหญิงพิกุลทองทำทีเป็นเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ เจ้าชายรีบส่งมือช่วยฉุดเจ้าหญิงพิกุลทองตัวปลอมขึ้นมาบนเรือ พระลักษณากับพระยมยศเห็นมีชะนีโผล่ขึ้นจากน้ำทีหลังรู้ว่าเป็นพระมารดาต่างส่งเสียงร้องเรียกและช่วยกันอุ้มขึ้นเรือ